กำหนดบทบาท Role Prompting

💡 Key Takeaways

• เข้าใจเทคนิค Role Prompting
• การกำหนดสไตล์ของผลลัพธ์
• ตัวอย่าง การเขียนรีวิวอาหาร
• ตัวอย่าง การเขียนอีเมลล์ตอบลูกค้า
• ตัวอย่าง การคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาอธิบายเกี่ยวกับเทคนิคที่เรียกว่า Role Prompting ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ในการควบคุมรูปแบบของข้อความที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI ให้ออกมาในลักษณะที่เราต้องการได้ และยังช่วยเพิ่มความแม่นยำในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้อีกด้วย

การนำ Role Prompting มาใช้งานนั้นทำได้ง่ายมากครับ เพียงแค่เราสั่งให้ AI "แสดงบทบาทเป็นนักวิจารณ์อาหาร" หรือ "ทำตัวเหมือนนักสืบ" เท่านี้ AI ก็จะปรับเปลี่ยนวิธีการเขียนข้อความให้เข้ากับบทบาทนั้นๆ ได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราบอกให้ AI แสดงบทบาทเป็นนักวิจารณ์อาหาร เวลาที่เรานำภาพอาหารไปให้ AI วิเคราะห์ มันก็จะให้ความเห็นในมุมมองของนักวิจารณ์ เช่น พูดถึงรสชาติ การตกแต่ง วัตถุดิบ เป็นต้น หรือถ้าให้ AI ทำตัวเป็นนักสืบ มันก็จะวิเคราะห์รูปภาพหรือข้อมูลต่างๆ เหมือนกับนักสืบที่กำลังหาเบาะแส เทคนิค Role Prompting นี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และเราสามารถเห็นตัวอย่างการใช้งานได้ทั่วไปตามเว็บไซต์ต่างๆ

ในแง่ของหลักการทางเทคนิคนั้น Role Prompting คือ การออกแบบ Prompt หรือคำสั่งให้กับ Language Model ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อเข้าใจและสร้างภาษามนุษย์ เราจะใช้ Prompt เพื่อชี้นำให้ Language Model สร้างข้อความในลักษณะที่เราต้องการ โดยการกำหนดบริบทหรือบุคลิกให้กับมัน เพื่อให้ AI เข้าใจและรับบทบาทนั้นในขณะที่กำลังประมวลผลและสร้างข้อความออกมา เปรียบเสมือนการสวมบทบาทให้ AI นั่นเอง

เทคนิค Role Prompting นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับงานหลากหลายประเภท ตั้งแต่การเขียนเรื่องแต่งอย่างสร้างสรรค์ เช่น นิยาย บทกวี บทละคร ไปจนถึงการตอบคำถามและการแก้ปัญหาต่างๆ ในสาขาที่หลากหลาย การเลือกใช้บทบาทที่เหมาะสมจะช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการคำตอบในมุมมองของแพทย์ เราก็แค่ Prompt ให้ AI แสดงบทบาทเป็นหมอ แล้วถามคำถามไป คำตอบที่ได้ก็จะเป็นมุมมองทางการแพทย์ หรือถ้าอยากได้คำแนะนำด้านกฎหมาย ก็ให้ AI สวมบทบาทเป็นทนายความ เป็นต้น

กำหนดสไตล์

การทำ Role Prompting นี้เราสามารถบอก AI ให้แสดงเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือให้มีลักษณะท่าทางแบบใดแบบหนึ่ง เพื่อปรับเปลี่ยนโทน สไตล์ หรือแม้กระทั่งความลึกของข้อมูลที่ AI จะนำเสนอ เช่น ถ้าเราอยากได้รีวิวอาหารที่อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเชฟมืออาชีพเขียน เราก็แค่บอก AI ว่า "เขียนรีวิวอาหารในมุมมองของเชฟมืออาชีพให้หน่อย" AI ก็จะปรับสไตล์การเขียนให้เหมือนเชฟจริงๆ เลยล่ะครับ

ตัวอย่าง การเขียนรีวิวอาหาร

การเขียนรีวิวให้ปังและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้น สิ่งสำคัญคือต้องปรับวิธีการเขียนให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์มและผู้อ่านครับ การ Copy รีวิวแบบเดียวไปวางทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น Google Reviews, Wongnai หรือ Pantip อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะถ้าคุณเขียนให้นักวิจารณ์อาหารในนิตยสาร หรือ บล็อก

เพื่อให้รีวิวของคุณโดนใจผู้อ่าน ให้คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความยาว สไตล์ ภาษา และโทนเสียง แล้วใช้สิ่งเหล่านี้ในการเขียนรีวิวที่พูดถึงความสนใจและความคาดหวังของผู้อ่านโดยตรง ด้วยการใส่ใจในรายละเอียดและเน้นคุณภาพของเนื้อหา คุณก็จะสามารถสร้างรีวิวที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของร้านอาหารที่คุณกำลังเขียนถึงได้อย่างแท้จริงครับ

เอาล่ะ เรามาเริ่มกันด้วยโจทย์ง่ายๆ โดยไม่ต้องสวมบทบาทอะไรก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวเราค่อยๆ ปรับการเขียนให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายกันไปเรื่อยๆ รับรองว่ารีวิวของคุณจะต้องปังและโดนใจผู้อ่านแน่นอน

Prompt :

AI Output :

ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี เรามาลองดูกันว่าถ้าเพิ่มบทบาทให้ AI เป็น “นักวิจารณ์อาหาร” แล้วผลจะเป็นอย่างไร

Prompt :

AI Output :

เขียนออกมาได้ดีกว่าเก่ามาก มีการแบ่งหมวดหมู่ต่างๆ อย่างเหมาะสม คราวนี้เราลองเพิ่มเข้าไปว่าเป็น "นักวิจารณ์อาหารที่เขียนให้ Mechelin Guide"

Prompt :

AI Output :

ผลลัพธ์ที่ได้มีสไตล์การเขียนที่เปลี่ยนไปบ้าง มีการใช้ศัพท์เทคนิคในเรื่องชื่อพิซซ่าและมีการให้คะแนน เห็นไหมครับว่า เราสามารถกำหนดสโตล์การเขียนได้ตามที่เราต้องการ เดี๋ยวเรามาทดลองปรับ Parameter จาก “เขียนให้กับ Michelin Guide” เป็น “เขียนให้กับนิตยาสารแม่และเด็ก” กันดูนะครับ ว่าผลที่ได้จะเป็นอย่างไร

ตัวอย่าง การเขียนอีเมล

ต่อไปเรามาดูตัวอย่าง การปรับแต่งข้อความด้วย Role Prompting กันอีกหนึ่งแบบ คือ "การร่างอีเมล"

สมมติว่าคุณมอบหมายให้ AI เขียนอีเมลถึงลูกค้า เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับความล่าช้าในกำหนดการจัดส่งเนื่องจากปัญหาด้าน Logistics เป้าหมายของคุณคือ การสื่อสารข้อมูลอัปเดตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ลูกค้ายังคงมั่นใจในบริการของคุณ มีหลายบทบาทที่คุณสามารถกำหนดให้กับ Model เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย

ตัวอย่างเช่น บทบาทหนึ่งที่เป็นไปได้คือ "ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร" ซึ่งสไตล์อาจจะชัดเจน มืออาชีพ และตรงประเด็น มาลองดูตัวอย่างกันเลยครับ

Prompt :

AI Output :

ลองอีกตัวอย่างหนึ่ง คือให้โมเดล AI สวมบทบาทเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด" เพื่อเน้นการโน้มน้าวและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

Prompt :

AI Output :

สุดท้ายนี้เรามาลองกำหนดบทบาท AI ให้เป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านลูกค้าสัมพันธ์" กันดูครับ

Prompt :

AI Output :

จาก 3 ตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าในแต่ละบทบาทของ Prompt จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะสอดคล้องกับมุมมองที่ได้รับ ไม่ว่าคุณจะต้องการความตรงประเด็นของ “ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร”, ความสามารถในการโน้มน้าวของ “ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด” หรือ ความเห็นอกเห็นใจของ “ผู้เชี่ยวชาญด้านลูกค้าสัมพันธ์” การกำหนดบทบาทให้ AI จะช่วยให้คุณปรับแต่งผลลัพธ์ให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้ดียิ่งขึ้น

เพิ่มความแม่นยำในการคำนวณ

ความแม่นยำของผลลัพธ์ด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์เอง ก็สามารถปรับปรุงได้ด้วยการกำหนดบทบาท เรามาลองกันเลยครับ

Prompt :

AI Output :

1,400 เป็นคำตอบที่ถูกต้อง !

สรุป

Role Prompting เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมการทำงานของ AI ในการสร้างเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการกำหนดบทบาท (Role) ให้กับ AI เพื่อให้มันเข้าใจว่าควรจะสร้างเนื้อหาในรูปแบบใด ใช้น้ำเสียงแบบไหน และมีความละเอียดลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้าเรากำลังให้ AI ช่วยร่างอีเมลถึงลูกค้า เราก็สามารถกำหนด Role ให้ AI เป็นพนักงานฝ่ายบริการลูกค้าที่มีความสุภาพและเป็นมืออาชีพ ซึ่งจะทำให้ข้อความในอีเมลที่ได้ออกมานั้นมีโทนและลีลาการเขียนที่เหมาะสม น่าประทับใจ และตรงใจลูกค้ามากขึ้น หรือในกรณีที่เรากำลังให้ AI ช่วยเขียนรีวิวสินค้า เราก็อาจจะกำหนด Role ให้มันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าประเภทนั้นๆ เพื่อให้ได้รีวิวที่มีเนื้อหาครบถ้วน ข้อมูลถูกต้อง และน่าเชื่อถือ

ดังนั้นแล้ว Role Prompting ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำ Prompt Engineering ที่ช่วยให้เราใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเมื่อเทคโนโลยี AI พัฒนาไปเรื่อยๆ บทบาทของ Role Prompting ก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

บทเรียนถัดไป บทที่ 6 "การแสดงตัวอย่าง Example Prompting"

อ่านบทเรียนอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้ ที่นี่